บทความที่ได้รับความนิยม

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Food on Film Project 1#

Tommorrowland >>> Chocolate Éclair 


*Always be positive*

ไม่อยากจะเชื่อว่าหนังของวอล์ท ดิสนีย์เรื่องนี้ จะทำให้เราเหมือนโดนตีแสกหน้า แทงเข้าใจดำอย่างจังตลอดทั้งเรื่อง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเมืองและกลุ่มคนช่างฝัน ที่อยากทำตามความฝันของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องการมีเงื่อนไขใดๆมาขัดขวาง โดยเฉพาะการมีใครมาบอกว่าทำอะไรได้หรือทำอะไรไม่ได้ 

คนส่วนใหญ่มักจะมองเห็นแต่ปัญหาและเอาแต่บ่นว่าโทษสิ่งต่างๆไปเรื่อย แต่ตัวเองกลับหดมือไม่ยอมทำอะไรให้ดีขึ้น กลายเป็นหมดหนทาง จึงยอมแพ้ หมดหวัง และทุกอย่างก็ยังแย่เหมือนเดิม 

แต่หนังเรื่องนี้กลับสอนเราว่า เราควรเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีความหวัง และความพยายาม เพื่อจะทำให้ความฝันกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราใช้ชีวิตที่มีแต่ความฝัน เพราะเมื่อเราทำอะไรแล้วเจอกับปัญหา เราก็มักจะกลัว กังวล เครียด จนท้ายที่สุดก็ล้มเลิกไป จึงทำให้ทำอะไรไม่เคยสำเร็จสักอย่าง หรือเรียกได้ว่า "มีโอกาสของความเป็นไปไม่ได้100%  นั่นเอง

เราจึงขอยกความดีงามให้หนังเรื่องนี้ ในแง่แรงบันดาลใจ หนังที่นำมาซึ่งการพัฒนาตนเอง มาในจังหวะที่ใช่ของชีวิตเรา เหมือนเป็นคำตอบจากพระเจ้า ว่าเราควรไปทางไหน

แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยการผจญภัย จรวดและสิ่งประดิษฐ์เจ๋งๆ ไม่มีเวลาสำหรับการนั่งดินเนอร์กินข้าวพร้อมหน้าหรอกนะ แต่ยังไงมนุษย์ต้องกินอาหารทุกวัน (ถึงจะอยู่อีกมิติของโลก) จึงมีการกล่าวถึงอาหาร 2 เมนู ในบทพูดของตัวละคร และเนื่องจากเมนูแรก น่าจะเป็นเมนูจากอนาคต. ซึ่งเราไม่รู้ว่าคืออะไร เราจึงขอหยิบอีกเมนูมาลองนั่นคือ เอแคลร์ชอคโกแลต เกี่ยวกะหนังยังไง? 55

สมกับเป็นเมนูแรกของโปรเจคยักษ์จริงๆ เพราะกว่าจะสำเร็จก็ 5 รอบเลย เป็นเมนูพิสูจน์ใจเลยว่าต้องเอาสิ่งที่ได้จากหนังมาใช้>>>> Always be positive 

Chocolate Éclair


Portions:15-17ชิ้น

Pate A Choux
นม 125 ml.
น้ำ 125 ml.
เนย 100 g.
เกลือ 4 g.
น้ำตาล 4 g.
แป้งอเนกประสงค์ 150 g.
ไข่ 3-4 ฟอง


เตรียม ส่วนที่1 นม น้ำ เนย เกลือ น้ำตาล ชั่งรวมกันไว้ในหม้อ
ส่วนที่2 ตอกไข่ใส่ถ้วย (ของเราใช้เกือบ4 ฟอง เหลือหน่อยนึง) ตีไข่ให้เข้ากัน
ส่วนที่3 ร่อนแป้งใส่ชามไว้ 

เอาหม้อส่วนที่1 ตั้งไฟเบา รอจนเนยละลายหมด ค่อยเร่งไฟกลางค่อนแรง พอส่วนผสมเดือดจัด ให้เทแป้ง ลงไปในหม้อทั้งหมด แล้วคนจนส่วนผสมเข้ากันดีจนจับตัวเป็นก้อน คนให้เร็วหน่อยนะเพราะเดี๋ยวก้นจะไหม้ คนจนก้นหม้อมีแป้งแห้งติดเป็นฟิล์มบางๆ ยกหม้อลง

นำแป้งใส่ภาชนะอ่างตี พักสักครู่ให้แป้งคลายความร้อนให้พออุ่นๆ เพราะถ้าใส่ไข่เลยทันที ไข่จะสุกเป็นตัวก่อน พอแป้งคลายความร้อน เปิดที่ตีความเร็วต่ำ  ใช้หัวตีใบไม้ ค่อยๆเทไข่ใส่ลงไปทีละนิด คอยดูคอยหยุดคนด้านล่างขึ้นมาเป็นครั้งคราว จนแป้งมีสีเงาๆ เนื้อดูเนียนๆ ทดสอบโดยยกหัวตีตักแป้งขึ้นมา แล้วจับหัวตีคว่ำลงให้แป้งตกลงมา ถ้าแป้งทิ้งตัวโดยเหลือส่วนแป้งที่ติดหัวตีไว้เป็นรูปตัววี V แสดงว่าโอเค  แต่ถ้าเป็นตัววายY  แสดงว่าใส่ไข่เยอะไป เวลาบีบจะแบน  อบออกมาไม่เป็นทรงสวยๆ 

บีบใส่ถาดอบ ใช้หัวบีบแบบ French star tip บีบความยาว 4 นิ้วค่ะ อันนี้แล้วแต่ชอบ ตรงปลายที่บีบ จะแหลมก็เอานิ้วจุ่มน้ำแล้วแตะปลายให้มนเข้ามา. แล้วสเปรย์น้ำบนหน้าเอแคลร์ ไม่เอาแบบเปียกโชกนะ^_^ อบไฟ 180c  20นาที และลดไฟลง160c อบ15-25 แล้วแต่เตาค่ะ อบจนเปลือกแห้งดี เอาออกจากเตา พักให้เย็น

เทคนิค**อันนี้เอามาจากหนังสือ Bouchon Bakery ของ Thomas Keller เค้าบอกว่าใส่ไข่เยอะๆจะอร่อย เค้าบอกถ้ากลัวแป้งเหลว ก่อนบีบให้เอาแป้งแช่เย็นจนแป้งอยู่ตัวดีแล้วค่อยบีบค่ะ ออกมาสวยงาม



เนื่องจากบีบไม่เท่ากัน ก็จะออกมาแบบที่เห็น เป็นศิลปะเนอะ ขนมทำมือ 55



ส่วน Chocolate Custard Cream

นมสดรสจืด 500 ml.
ฝักวานิลลา 1ฝีก(2tsp.)
น้ำตาลทราย 100 g.
ไข่แดง 4ฟอง
แป้งข้าวโพด 50 g.
วิปปิ้งครีม 200ml.
ดาร์คชอคโกแลต 300 g.

- ละลายชอคโกแลตไว้ในอ่าง
- นำนมใส่วานิลลาตั้งไฟอ่อนๆ ระหว่างนั้นให้ใช้ตะกร้อตีไข่แดงกับน้ำตาลทราย จนไข่แดงสีอ่อนลง ใส่แป้งข้าวโพด คนจนเข้ากัน
- ค่อยๆเทนมเดือดลงในชามไข่ คอยคนให้เข้ากันตลอด ค่อยเทๆนมจนหมด คนให้เข้ากันดี แล้วเทกลับใส่หม้อ นำหม้อตั้งไฟอ่อน จนส่วนผสมข้นและเดือดอ่อนๆ ยกลงจากเตา แล้วเทชอคโกแลตที่ละลายไว้ ผสมให้เข้ากันดี แล้วเทส่วนผสมใส่ชามปิดหน้าด้วยฟิลม์ ปิดให้ฟิลม์แนบไปกับตัวครีมเลยค่ะ แช่เย็นให้เย็นสนิท
- ตีวิปปิ้งครีมให้ตั้งยอดอ่อน
- เอาครีมชอคออกมาตีด้วยตะกร้อจนเนื้อเนียน แล้วค่อยตะล่อมวิปครีมลงไปค่ะ 
- เจาะรูข้างใต้เปลือก สองรู หัวท้าย แล้วบีบครีมเข้าไปค่ะ โรยหน้าเอแคลร์ด้วยไอซิ่งหรือจะทำชอคโกแลตเกลซราดหน้าแบบในรูปก็ได้ค่ะ ได้กินแล้วเย้ๆๆ


น่ากินป่าว รูปไม่ค่อยชัดเลย ทำใจๆ T.T  แต่เกลซหน้าเงามากๆ เป็นบลอคแรกที่รู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามมากจริงๆ ยาวๆๆๆ ไม่รู้คนอ่านจะเหนื่อยอ่านมั้ย แต่พยายามใส่เทคนิค ที่ได้เรียนรู้ไว้ให้นะคะ ออกตัวไว้ก่อนว่าเราไม่ได้เรียนที่ไหน มาเรียนเองจากการฝึกค่ะ สงสัยอะไรถามได้ ถ้าตอบได้จะตอบ หรือจะมีข้อแนะนำบอกได้เลยนะคะ เอามาแบ่งปันกัน ลาแล้วนะ เจอกันกับ Food on Film 2# จะเป็นเรื่องอะไร เมนูอะไร รอชมกันนะ 

Bon Apetité






โปรเจคใหญ่ๆๆ มาแล้ว Food on Film

หนัง 50 เรื่อง กับอาหาร 50 เมนู

ไม่น่าเชื่อว่าท่ามกลางบรรยากาศยามเย็น พระอาทิตย์กำลังจะลาขอบฟ้า ภูเขาตรงหน้า สนามหญ้าเทียมสีเขียว และกลิ่นเหงื่อนักกีฬาจะนำมาซึ่งความคิดนึง ที่ไม่น่าจะมาเกี่ยวกันได้

เราไม่รู้ว่าคนทั่วไปจะคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องความสำเร็จ และการนับถือตัวเอง แต่ตัวเราเองมักคิดเสมอว่าตัวเราเป็นคนขี้เบื่อง่าย ไม่ค่อยพยายาม หรือมุ่งมั่นสักเท่าไหร่ ชีวิตที่ผ่านมาเลยดูไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

แต่ยังไงท้ายที่สุดคนเราก็จะต้องเดินทางหาคำตอบจนเจอ ว่าตัวเราชอบอะไร อยากทำอะไร และรู้ว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไรบนโลกกว้างใบนี้ (ซึ่งจริงๆตอนนี้มันแคบมาก เพราะการเชื่อมโยงบนโซเชียลเนตเวิค)

เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เราตัดสินใจที่จะทำสิ่งนึงซึ่งเป็นความฝัน ไม่ใช่สิเรียกว่าความคลั่งไคล้ดีกว่า  นั่นคือการทำอาหาร เราไม่รู้ว่ามันเริ่มจากตรงไหนในชีวิต อาจจะเพราะตอนล้อมวงเล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับเพื่อนแถวบ้านในวัยเด็ก หรือเป็นห้องเรียนวิชาคหกรรมตอนม.1 หรือมื้ออาหารแห่งความทรงจำกับพ่อแม่  หรืออาจจะเป็นครัวในบ้านไม้ในชนบทที่ให้ความรู้สึกทั้งเสียงและกลิ่นที่ต่างกันมากๆอย่าง ครัวปักษ์ใต้ของยายที่นครศรีธรรมราช กับครัวอีสานบ้านเฮาของย่าที่โคราช  แต่ไม่ว่าจะเริ่มยังไง มันก็นำเรามาพบว่าเราชอบเกี่ยวกับอาหาร (ขอออกตัวว่าไม่เคยทำอาหารมาก่อน ออกแนวจะขี้เกียจด้วยซ้ำ) ชอบดูรายการทำอาหาร อ่านการ์ตูน ดูหนังเกี่ยวกับอาหาร และชอบซื้อหนังสือทำอาหารมากๆ

เราเลยตัดสินใจไปเรียนทำอาหาร กับสถาบันของรัฐ (เนื่องจากงบน้อย) จากนั้นมาเราก็ได้รับประสบการณ์ในสายอาชีพนี้อย่างน่าตื่นเต้น

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนเรียนมหาลัยอยุ่ปีสอง เราได้รู้จักเพื่อนคนนึงที่เรียนภาพยนตร์ นับแต่นั้นมามันคืออีกสิ่ง ที่คล้ายโดนปักหมุดไว้ ทำให้จนทุกวันนี้เราก็ยังคงชอบดูหนัง (และบ่อยก็คือหนังนอกกระแส) เราก็ไม่รู้ว่าเพราะเราชอบดูหนังเลยทำให้เรารู้สึกเข้ากันได้ดีกับเพื่อนคนนี้ หรือเพราะเพื่อนคนนี้ที่เข้ามาเปลี่ยนและทำให้เราชอบดูหนังกันแน่ แต่ตอนนี้เราก็ยังคงชอบและมีความสุขที่ทำสิ่งนี้ และหลายครั้งเราก็มักจะนึกถึงเพื่อนคนนี้ และอยากจะย้อนกลับไปสมัยนั้นจริงๆ

แล้วมันเกี่ยวกันยังไงเหรอ ที่เล่ามาทั้งหมด เอายังงี้แล้วกัน ถ้าคุณเคยดูหนังเรื่อง  julie&Julia  คุณอาจจะพอเข้าใจ แต่ถ้าคุณไม่เคยดู ก็จะขอเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงสองคน ที่ต่างยุคสมัย แต่ทั้งสองมีสิ่งหนึ่งที่เชื่อมโยงกันนั้นคือ อาหาร และการค้นหาความเคารพและคุณค่าในตัวเอง เราไม่อยากจะเล่าให้ฟังทั้งหมดหรอกนะ เอาเป็นว่าเราก็อยากจะค้นหาคุณค่าและอยากจะเอาชนะข้อจำกัดของตัวเองทำในสิ่งที่อยากทำให้สำเร็จเหมือนสองตัวละครในหนังเรื่องนี้

และนี่คือที่มาของเป้าหมายนี้ เราอยากจะทำอาหาร โดยแรงบันดาลใจจากหนัง เพราะเรารักหนังและรักการทำอาหาร เราจึงอยากทำไปพร้อมกัน ไม่รู้สุดท้ายจะเป็นยังไง แต่เราจะทำ โดยหาหนังมา 50 เรื่อง เราจะดูหนัง แล้วจะหยิบเมนูมา 1 อย่างจากหนังเรื่องนั้น หาสูตรแล้วลองทำดู  เรายอมรับว่าเรากลัวว่าจะไปไม่รอด เพราะฉะนั้น ถ้าเราทำได้ 10 เรื่องแล้ว เราจะบอกคุณเกี่ยวกับสิ่งนี้ แล้วเราจะเดินทางต่อไปด้วยกันนะคะ

สนามฟุตบอลยามอาทิตย์อัสดง
24/5/58


วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558

Mulberry Rare Cheesecake ฤดูของลูกหม่อนมาแล้วจ้า..







ปีที่แล้วช่วงที่ลูกหม่อนออก เราได้ลงสูตร บัตเตอร์เค้กลูกหม่อน ไว้ ปีนี้ลูกหม่อนออกเยอะมาก

ก็เลยต้องหาเมนูใหม่ๆมานำเสนอบ้าง ไปหาสูตรหรือหาว่าจะเอามาทำอะไรดี เจอหลายๆไอเดีย แต่บางไอเดียก็ต้องซื้อวัตถุดิบเพิ่ม เลยตัดสินใจว่าขอทำเมนูจากของที่มีดีกว่า และคงหนีไม่พ้นเมนูชีสเค้ก อีกแล้ว

เนื่องจากลูกหม่อนรสชาติหรือกลิ่นของมันอาจจะไม่ชัดเจนหรือโดดเด่นเท่ากับเพื่อนๆ เบอรี่ของเค้า ก็เลยอยากทำชีสเค้กที่รสชาติสดชื่น เบาๆ รสชาติอ่อนๆ เพื่อให้เวลากินได้รับรสชาติของลูกหม่อนอย่างเต็มที่ค่ะ

สูตรเอามาจากหนังสือ  เป็นหนังสือแปลจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งสูตรญี่ปุ่นข้อดีของเค้าคือเป็นสูตรที่ไม่เยอะมากเหมาะไว้ทำกินคนเดียวหรือสองคนได้ และขึ้นชื่อเรื่องรสชาติเบาๆอยู่แล้ว และเราก็ไม่เคยลองใช้สูตรจากหนังสือเล่มนี้ จัดเลยแล้วกัน

Base
แครกเกอร์ 80 กรัม
เนย 50 กรัม

เอาแครกเกอร์ไปบดให้ละเอียด ขณะเดียวกันก็ละลายเนยรอไว้ พอแครกเกอร์ละเอียดดีก็เอามาผสมคลุกกับเนย
แล้วอัดลงในพิมพ์ แล้วนำไปแช่เย็น 20-30นาที

Cream Cheese Filling
ครีมชีส 100 กรัม
ซาวร์ครีม 70 กรัม เราใช้โยเกิตร์แทน
น้ำตาลทราย 40 กรัม
ครีมสด 90 กรัม
เหล้าส้ม Cointreau 5 กรัม (ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องใส่)
สามารถใส่ได้ตามชอบ ชอบหอมมากก็ใส่มากๆ
น้ำมะนาว 5 กรัม
เจลาติน 4 กรัม
นมสด 50 กรัม

1.ก่อนอื่นก็ตวงครีมชีสแล้วนำมาตั้งไว้ให้อ่อนตัว
2.แช่เจลาตินในน้ำเย็นจัด ขณะเดียวกันก็อุ่นนมให้พอร้อนปิดไฟ(ถ้ามีไมโครเวฟก็จะสะดวกมาก)  พอเจลาตินนิ่มก็ใส่เจลาตินลงในนม บีบน้ำที่แช่ออกให้หมด คนจนละลายหมด พักไว้
3.เอาครีมชีสมาคนด้วยพายยางจนเนื้อเนียนนุ่มไม่เป็นเม็ด แล้วใส่ซาวร์ครีมลงไปผสม พอเข้ากันดีค่อยๆใส่น้ำตาลผสมจนน้ำตาลละลายเป็นเนื้อเดียว
4.แบ่งครีมสดเป็น 2 ส่วน ใส่ลงในส่วนผสมข้อ 3 ทีละส่วนโดยใช้ตะกร้อมือผสมให้เข้ากัน จากนั้นใส่น้ำมะนาวและเหล้าส้มลงไป แล้วตีผสมต่อ
5.นำนมสดในข้อ 2 ที่เย็นแล้วลงในส่วนผสมคนให้เข้า  ถ้าส่วนผสมเป็นตัวก็กรองได้นะ แล้วเทลงพิมพ์ แช่เย็น 2 ชั่วโมงขึ้นไป
เอาออกจากพิมพ์ รอแต่งหน้า

Mulberry Compote
ลูกหม่อน 325 กรัม
น้ำตาลทราย 50 กรัม
น้ำเลมอน 15 กรัม
แป้งข้าวโพด 10 กรัม
น้ำ 10 กรัม

นำลูกหม่อน น้ำตาล เลมอนใส่หม้อรวมกัน ตั้งไฟกลาง คนพอน้ำตาลละลาย แล้วใส่ แป้งข้าวโพดที่ละลายกับน้ำแล้ว เทลงในหม้อ กวนส่วนผสมจนสุก ดูจากสีจะเงาๆ ชิมดูจะไม่มีรสแป้งแล้ว พักไว้จนเย็น จึงเอามาแต่งหน้า


เราทำใช้พิมพ์ฐานกว้าง 3.5 เซน ได้5 ชิ้นอ่ะ กำลังดี ไม่เยอะไป รสชาติดีเลย คิดว่ากินวันที่สองอร่อยกว่าวันแรกนะ 55
แก้ร้อนดีนะ สดชื่นๆๆ

รูปนี้คือ compote ที่ทำเสร็จแล้วจะแลดูเงาๆๆ

กว่าจะทำบลอคนี้เสร็จก็ใช้เวลานานมาก ไม่ใช่เพราะยุ่งอะไร แค่อากาศร้อน 55 เกี่ยวมั้ย?
Bon Appétit









วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558

Lime Bar แค่ชื่อก็เปรี้ยวแล้ว

ขอสารภาพเลยว่าไม่เคยคิดอยากจะทำขนมแนวๆนี้ ถึงแม้ว่าจะชอบกินของรสเปรี้ยวก็ตาม เคยลองสั่งเลมอนทาร์ตมากินก็เลยรู้จักตัวเองว่าไม่ชอบกิน ขอมะม่วงจิ้มพริกเกลือดีกว่า

แต่เพราะช่วงนี้ต้นมะนาวที่บ้านออกผลมาเยอะ ประกอบกับที่เราก็ไม่ค่อยได้ทำอาหารกินเองบ่อย ถึงจะเอามาใส่ในขนม ก็ใช้แค่นิดเดียว และแถมกับมีน้องคนนึง ชอบร้องหาเลมอนบาร์ เวลาเจอหน้าเรา #หน้าตาเปรี้ยวก็เงี้ย 55 มันจึงมีเรื่องได้ทำน่ะสิ

สูตรดัดแปลงจาก blog Eatliverun http://www.eatliverun.com/creamy-lime-squares/
ที่แปลงไม่ใช่เก่งกาจอะไร แต่เพราะสูตรเค้ามาเป็นถ้วยตวง เราก็ไม่ค่อยถนัดตวงแนวนี้ เลยปรับนิดหน่อย แต่รสชาติรวมๆก็คือ เปรี้ยวนำ ตามด้วยหวานมันจากตัวฐานบิสกิต ไปลองทำกันเลยนะ ไม่ยากๆ

สูตรฐานบิสกิต
 
แป้งอเนกประสงค์ 100 กรัม 
น้ำตาลไอซิ่ง 50 กรัม
เกลือ 1/4 ช้อนชา
เนยจืด 120 กรัม แช่เย็นจัด

สูตรครีมมะนาว

น้ำมะนาว 2/3 ถ้วยตวง
แป้งอเนกประสงค์ 24 กรัม
น้ำตาลทราย 250 กรัม
ไข่ 4 ฟอง เราใช้เบอร์ 0
ผิวมะนาว 2 ช้อนชา
สีผสมอาหาร สีเขียว
น้ำตาลไอซิ่ง สำหรับแต่งหน้า


แนะนำว่าขูดผิว กับคั้นน้ำให้เสร็จก่อนจะดีกว่านะ แล้วก็ไม่ควรใส่ผิวรวมกับน้ำทิ้งไว้ เพราะผิวมันจะเปลี่ยนสี ดูไม่สวย


เราใช้พิมพ์ 8*9นิ้วนะ รองด้วยกระดาษรองอบ ไม่ต้องทาอะไรทั้งสิ้น

วิธีทำฐาน
นำแป้ง น้ำตาลไอซิ่ง เกลือ ผสมให้เข้ากัน แล้วนำเนยหั่นเต๋า ที่เย็นจัด มาคลุกแล้วใช้มือบี้ให้เนยเป็นเศษเล็กๆเหมือนเวลาเราทำทาร์ตเลย ถ้าเนยเย็นดีจะได้ลักษณะเหมือนเม็ดทรายเม็ดกรวดเล็กๆ พอดีไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เพราะตอนทำอากาศร้อนและเนยไม่ค่อยเย็น ดูจากรูปจะเห็นว่าเนยยังเป็นก้อนอยู่  แถมแป้งจะดูแฉะ เราเลยเพิ่มแป้งนิดหน่อย กรุลงถาด อบไฟ180องศา 20-25 ดูจากสีถ้าเหลืองหอมก็ใช้ได้

วิธีทำครีมมะนาว
นำแป้งกะน้ำตาล มาผสมกัน แล้วค่อยๆใส่ไข่ทีละฟอง คนให้เข้ากันทีละฟอง พอครบ ใส่น้ำมะนาวกับผิวมะนาว แล้วตามด้วยสีผสมอาหาร ตามใจชอบ 
ป.ล. ควรทำครีมให้เสร็จก่อนที่ฐานจะอบเสร็จ ควรเทครีมลงบนฐานขณะที่พึ่งออกจากเตา แนะว่าควรกรองครีมมะนาวเพื่อเอาฟองอากาศออก หน้าจะได้สวย แล้วนำเข้าอบต่อ 15-25 นาที เชคแค่พอให้ครีมเชตตัวไม่ถึงกับต้องแข็งเลย แค่ตรงกลางยังเด้งๆก็พอ พักจนเย็น แช่เย็นค่อยตัด โรยด้วยไอซิ่ง แล้วก็กิน

ทำออกมาได้เหมือนของเจ้าของสูตร รสชาติวันแรกจะยังเปรี้ยวอยู่ วันที่สองเริ่มเปรี้ยวน้อยลง ค่อยกินง่ายขึ้น ยังคงยืนยันว่าไม่ค่อยชอบนะ แต่สูตรบิสกิตนี้อร่อยดี เลยทำให้กินได้หมดชิ้น

ลาแล้วจ้า Bon Apetité



วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

Banana Mini Loaf Cake :เค้กกล้วยหอมชิ้นเท่าบ้าน(จิ๋ว)

รัตน์มาใช้ชีวิตอยู่เชียงใหม่ได้3ปีแล้วค่ะ เวลาเดินไปเร็วมากๆ ช่วงนี้ที่นี่อากาศร้อน และที่สำคัญหมอกควันที่เกิดจากการเผาๆๆป่า เผาขยะนู่นนี่ ทำให้อากาศแย่มากๆ ช่วงนี้ก็เลยไม่ค่อยอยากทำอะไรมากค่ะ โดยเฉพาะขนมที่ขั้นตอนเยอะ วันนี้เลยอยากนำเสนอเค้กบ้านๆ ที่รสชาติไม่บ้านๆ มาฝากกัน สูตรนำมาจาก Boutique Baking by Peggy Porschen  เป็นเชฟขนมที่ทำขนมออกมาได้น่ารัก สวยงามมาก

จริงๆในสูตรจะมี Banana Frosting มาให้ด้วย แต่รัตน์ว่ากินแค่เค้กอย่างเดียวก็อร่อยแล้ว (หรือขี้เกียจ??)
และเพราะว่ารัตน์มีพิมพ์อันเล็กๆที่ชอบซื้อมาแต่ไม่เคยได้ใช้ เลยเอามาใช้ซะเลย  ในสูตรที่ให้ยังไม่ได้ปรับความหวานนะคะ ชอบไม่หวานก็ลองลดดูค่ะ



Banana Loaf cake
เนยจืด นิ่ม  100 กรัม
น้ำตาลทรายธรรมชาติ 200 กรัม
ผงชินนามอน 1 ช้อนชา
ไข่ไก่ เบอร์1 2 ฟอง
กล้วยสุกงอม 300 กรัม
แป้งอเนกประสงค์ 180 กรัม
 Baking Soda 1 ช้อนชา
Dark Choc 53%ขึ้นไป 60 กรัม หั่นเป็นชิ้นเล็ก
วอลนัต 80 กรัม อบให้สุกแล้วหั่นหยาบๆ

เปิดเตาอบ 175 c
ทาเนยบางๆ แล้วใส่กระดาษรองอบ 

-ตีเนย น้ำตาลและชินนามอนรวมกันจนขึ้นฟู
-ใส่ไข่ลงในอ่างเนย ทีละฟอง ตีให้เข้ากัน
-นำกล้วยมาบด ให้ละเอียด แล้วใส่ลงในส่วนผสม 
-ใส่ชอคโกแลต และวอลนัต ตามลำดับ ผสมให้พอเข้ากัน
-ร่อนของแห้งที่เหลือรวมกัน แล้วค่อยๆเทลงในแบทเทอร์ โดยใช้สปีดต่ำสุด ผสมให้พอเข้ากัน
-เทลงในพิมพ์ประมาณ2/3ของพิมพ์ ถ้าเป็นพิมพ์โลฟใหญ่ก็อบ 35-40นาที แล้วแต่เตาของแต่ละคนนะคะ
วิธีเชคก็ลองใช้ไม้จิ้มลงไป ถ้าไม่มีเนื้อเค้กติดขึ้นมาแสดงว่าสุกแล้ว
-พักให้เย็นบนตะแกรง 

เค้กกล้วยหอม จะกินเลยก็อร่อย หรือจะเก็บข้ามคืนก็อร่อยมากขึ้นค่ะ สังเกตว่าขนมของเราชิ้นเท่าบ้านจริงๆ

ขอให้มีความสุขในการทำและกินขนมนะคะ Bon Appètit

วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557

Pound Cake w/ Mulberry Fruit

       Pound Cake W/ mulberry

เมนูนี้เป็นความภูมิใจส่วนตัวค่ะ ไม่ใช่เพราะทำแล้วอร่อยนะคะ (แต่ก็อร่อยจริงๆนะแหละ) แต่เพราะมัลเบอรี่ Mulberry หรือลูกหม่อน ที่ใส่ลงไปในเค้ก เป็นผลที่ได้จากต้นที่เราปลูกเอง ปลูกมาเกือบปี พึ่งจะมีลูกออกมาครั้งแรก คิดว่าเป็นฤดูของเค้าค่ะก็เลยออกมาเต็มเลย


เนื่องจากเป็นคนกรุงมาทั้งชีวิต ไม่เคยปลูกต้นไม้ที่กินได้มาก่อน เคยแต่ซื้อพวกไม้ดอก ไม้ประดับมาปลูกดูเล่น แต่ก็ไม่สำเร็จ สักพักก็ลาจากกันไป อย่าคิดหวังว่าจะไปปลูกผักกินเลย T.T แต่ครั้งนี้เราทำได้  ถึงมันจะปลูกไม่ยากมากก็เถอะ แต่ก็สำเร็จเล็กๆ ที่สำคัญเก็บกินได้เลย ไม่มีสารเคมีค่า

และด้วยความที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือตำราอาหาร เลยจะชอบเก็บเมนูที่อยากทำไว้เยอะมาก เลยไปรื้อๆ ค้นๆ จนเจอเมนูนี้ค่ะ มาจากนิตยสาร Martha Steward เล่มไหนนี่ก็ไม่ได้จดไว้ด้วยซีนะ มาทำกันดีกว่า

ส่วนผสม
เนยจืด 200-227g. (วางไว้ที่อุณหภูมิห้อง)
น้ำตาลทราย 3/4 cup
วานิลา 1 tsp.
ไข่ขนาดใหญ่ 3 ฟอง
นมสด 3 tbsp.
แป้งเค้ก ร่อน 1 1/2 cup
ผงฟู 1 tsp.
เกลือ 1/4 tsp.
ลูกหม่อนสุกๆ 200 g.
แป้งเค้ก 2 tbsp.

- เปิดเตาอบ 180 c. ใช้พิมพ์โลฟ รองด้วยกระดาษ และทาเนยให้ทั่วพิมพ์
- ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ รวมกัน
-ผสมลูกหม่อนกับแป้งเค้ก 2tbsp. ให้เข้ากัน พักไว้
-ตีเนยและน้ำตาล ใช้ความเร็วสูงจนกระทั่งเนยขาวฟู ใส่วานิลาลงตีให้เข้ากัน
ผสมไข่และนมสดเข้าด้วยกัน เทลงในส่วนผสมของเนย โดยแบ่งออกเป็น 2 ครั้ง ตีให้เข้ากันด้วยความเร็วปานกลาง ค่อยๆใส่ส่วนผสมของแป้งลงตีให้เข้ากัน ตีด้วยความเร็วต่ำ โดยแบ่งออกเป็น 3 ครั้ง เมื่อส่วนผสมเข้ากันดี ใส่ลูกหม่อนลงผสมโดยใช้พายยางในการผสม
-เทลงพิมพ์ ปาดหน้าให้เรียบ อบประมาณ45-60นาที แล้วแต่ขนาดพิมพ์ วิธีเชค เอาไม้จิ้มเค้กส่วนที่หนาที่สุด แล้วดึงออกมา ถ้าไม่มีเนื้อเค้กติดไม้ โอเคแล้ว ถ้าระหว่างอบหน้าเค้กเข้มเกินไป ให้นำฟอยล์ทาเนยเล็กน้อยปิดลงบนเค้ก หลังจากอบไปแล้วประมาณ30 นาที
-เค้กสุก นำออกมาพักบนตะแกรงจนเย็นสนิท ตัดแบ่งมากินกัน


อันนี้สวนที่บ้านเราเอง ออกแนวรกนิดนึง >.<


ปูลู : แช่เย็นเก็บไว้เค้กจะแข็งขึ้น ก่อนทานเอาออกจากตู้เย็นวางพักไว้สักครู่ ค่อย enjoy eatingกัน Bon Apètit








วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

Anmitsu (あんみつ) : หวานเย็นสไตล์ญี่ปุ่น^_^

หลังจากที่ไปเที่ยวกรุงเทพฯ มาก็มีโอกาสได้ไปชิมขนมชนิดนึงในร้านอาหารญี่ปุ่นมาค่ะ  จริงๆเคยเห็นมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่รู้จักค่ะ และคิดว่ารสชาติคงจะธรรมดา เลยไม่เคยคิดจะชิม แต่หลังจากที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับขนมของญี่ปุ่นมา ก็คิดอยากลองชิมบ้าง ที่น่าแปลกคือมันอร่อยเว่อร์ แย่งกันกินกะคุณแฟนยังกับเด็กๆเลยค่ะ


Anmitsu (あんみつ) เป็นขนมที่จะนิยมทานช่วงหน้าร้อนค่ะ ส่วนประกอบจะมีวุ้นที่ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ โมจิ ผลไม้ตามชอบ ถั่วแดงบด ไอศครีมจะเป็นรสชาเขียวหรือวานิลลาก็ได้ค่ะ และน้ำเชื่อม (Black sugar syrup) จะเอาไว้ราดลงในขนมเวลาจะทานค่ะ

มาลองทำกันเลยดีกว่าค่ะ อย่างแรกเลยคือ 
วุ้น agar agar(Kanten)  
-ผงวุ้น 4 g.
-น้ำตาลทราย 2 Tbsp.
-น้ำเปล่า 500 ml.
นำผงวุ้น และน้ำเปล่าใส่หม้อตั้งไฟ คนให้ละลาย แล้วใส่น้ำตาลทรายลงไปค่ะ คนให้น้ำตาลละลาย ตั้งต่อจนส่วนผสมเดือด ปิดไฟได้เลย แล้วเทลงถาดที่เตรียมไว้ เข้าตู้เย็นแช่ให้แข็ง

ส่วนต่อไปคือ โมจิ (Mochi)
จริงๆที่ไปทานมา เค้าจะใช้ Shiratama Dango ค่ะ ซึ่งโมจิก็จะมีประเภทของเค้าด้วย คือ Shiratama กับ Mochiko แต่ที่ไปหามาได้ก็คือ Mochiko ค่ะ แต่ถ้าใช้อีกแบบน่ะ ขอบอกว่าอร่อยกว่าค่ะ

แป้งโมจิ 55 g.
น้ำเปล่า 2 1/2 Tbsp.
น้ำตาลทราย 1/2 tsp.

ผสมแป้งโมจิกับน้ำตาลทรายในชามผสม ค่อยเทน้ำลงไปทีละนิด ใช้พายยางผสมแป้งให้เข้ากัน จนแป้งรวมตัวกันเป็นก้อน  แล้วใช้มือนวดให้แป้งเนียนเข้ากันดี  ปั้นเป็นก้อนกลมๆ  

ตั้งหม้อใส่น้ำ พอเดือดใส่แป้งที่เตรียมไว้ลงต้มประมาณ1-2 นาที สังเกตุว่าโมจิจะลอยขึ้นมา ตักแช่ในน้ำเย็นจัด

น้ำเชื่อม Kuromisu (Black sugar syrup)
จริงๆน้ำเชื่อมอันนี้มีขายนะคะ แต่ไปหาซื้อไม่เจอค่ะ ก็ไปหาวิธีมาจนได้ คือถ้าหาน้ำตาลทรายชนิดนี้ได้ก็เอามาต้มได้เลยค่ะ แต่ก็หาไม่เจอเหมือนกันค่ะ แต่ไม่เป็นไรเราใช้น้ำตาลทรายแดงแทนไปก่อนได้ สีได้ แต่กลิ่นจะไม่เหมือนซะทีเดียว

น้ำตาลทรายแดง 100 g.
น้ำเปล่า 100 ml.
นำสองอย่างใส่หม้อตั้งไฟ พอเดือด เบาไฟลงเคี่ยวจนน้ำเชื่อมข้น ปิดไฟ แช่เย็น


ได้เวลาประกอบร่าง

ตัดวุ้นให้เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงในถ้วย ใส่ผลไม้ลงไป ใส่โมจิและถั่วแดงเชื่อมบด  สุดท้ายตามด้วยไอติมค่ะ แต่อันนี้ไม่มี 55 แต่ก็อร่อยเหมือนกัน หุหุ^_^ ใส่วิปครีมเพิ่มก็ได้น้า..


อันนี้เอาภาพที่ทำเองกะไปชิมมา มาประชันกัน ซึ่งก็น่ากินทั้งคู่



ปูลู. เวลาทานอย่าลืมราดน้ำเชื่อมด้วยนะคะ Bon Apètit.